ประยุทธ์ เดือดประกาศขู่รัฐมนตรีที่ นินทา ตนให้ระวังตัวไว้ ถ้าได้ยินหรือสร้างปัญหาโดนเด้ง ย้ำมีทีมงานส่องเฟซบุ๊กตลอด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งสำนักข่าว มติชน บรรยายว่า บรรยากาศการประชุมโดยรวมเป็นไปด้วยดี
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เล่นมุกและแซวกับรัฐมนตรีเป็นระยะๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ตนเองถูก กทม. และตำรวจปรับ 6,000 บาท
จากการไม่สวมหน้ากาก แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศตึงเครียดตอนก่อนปิดประชุม หลังจากที่นายกฯ ได้ประกาศขู่รัฐมนตรีที่นินทาตน “มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดีและนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกเข้ามาทำงาน จะชอบหรือไม่ชอบผม อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีก ผมจำเป็นต้องปรับออก จะริบโควต้านั้นมาเป็นของผมเอง ผมมีทีมงานคอยดูเฟซบุ๊กทุกท่าน ผมไม่วางใจและไม่สบายใจ ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชัง ทุจริต ถ้ามีปัญหาผมจะพิจารณาเอาออก”
ทำให้รัฐมนตรีที่ร่วมประชุมเมื่อได้ฟังแล้วต่างนิ่งเงียบ เพราะเป็นท่าทีที่รุนแรง และไม่มีใครแสดงความเห็น โดย พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ตัวเองไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ตำหนิใคร พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คุยเรื่องนี้ด้วย ส่วนประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ดึงอำนาจของรัฐมนตรีในการใช้กฎหมาย 31 ฉบับ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขมาดูแลเอง เป็นเพียงชั่วคราว โดยมั่นใจว่า จะสามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เร็วขึ้น
ก่อนหน้านี้ นายกฯได้กล่าวในที่ประชุมว่า “มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดีและนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกเข้ามาทำงาน จะชอบหรือไม่ชอบผม อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีก ผมจำเป็นต้องปรับออก จะริบโควต้านั้นมาเป็นของผมเอง ผมมีทีมงานคอยดูเฟซบุ๊กทุกท่าน ผมไม่วางใจและไม่สบายใจ ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชัง ทุจริต ถ้ามีปัญหาผมจะพิจารณาเอาออก”
นายก หารือที่ปรึกษา เร่งสรุปแนวทาง และจัดการการแพร่ระบาดของ โควิด-19
นายก รัฐมนตรี หารือคณะที่ปรึกษา สรุปแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อ และจัดการการแพร่ระบาด โควิด-19 ดำเนินการด้วยความเร่งด่วนอย่างมีประสิทธิภาพ นายก โควิด-19 – นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
โดยที่ประชุม ได้มีความเห็นว่า การระบาดระลอกใหม่ของโลกในครั้งนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและเอเชีย ทั้งนี้ ประเทศไทยได้มีการบริหารจัดการที่ผ่านมาเป็นอย่างดี จนนำไปสู่การผ่อนคลายกฏเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันเกือบเป็นปรกติ โดยที่ผ่านมาอาจจะมีการระบาดเกิดขึ้นเป็นกลุ่มจังหวัด ก็ไม่มีการล็อกดาวน์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
นอกจากนี้ การระบาดระลอกเมษา 64 นี้ มาเร็ว และกระจายตัวเร็วจนสร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าไทยจะมีความพร้อมในการรับมือการระบาดครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และเห็นควรที่จะดำเนินการดังนี้
1.ด้านการจัดการ: ให้มีการยกระดับ ศบค. โดยให้เป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิม หลังจากที่ได้มีการผ่อนคลายและให้อำนาจกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้ดูแลไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาและการสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน จะสามารถดำเนินการได้เบ็ดเสร็จและรวดเร็วยิ่งขึ้น
2.ด้านการคัดกรอง: ได้มอบหมายให้ ศบค. ดำเนินการจัดให้มีศูนย์คัดกรองของรัฐในทุกจังหวัด โดยจังหวัดขนาดใหญ่ เช่น กทม. จำเป็นต้องมีหลายจุดเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และหากพบผู้ติดเชื้อต้องมีการจัดส่งไปยังสถานที่รักษาที่เหมาะสม โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ต้องดูแลให้มีความเพียงพอ
3.ด้านการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ: จัดให้โรงพยาบาลสนามที่พร้อมรับดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ เฝ้าระมัดระวังอาการ ส่วนผู้ที่มีอาการเริ่มต้น และที่มีอาการหนัก ต้องจัดให้มีสถานพยาบาล รองรับ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน หรือสถานพักเอกชน โดย ศบค. จะกำกับและติดตามกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้จัดสถานพยาบาลให้มีเพียงพอกับผู้ที่ติดเชื้อ
4.ด้านการฉีควัคซีน: ศบค. จะเข้ามาดูแลการจัดสรรที่ควบคู่กันไปกับ บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ภาคธุรกิจ และประชาชน โดยความสามารถในการฉีดวัคซีน จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน จัดสถานที่ที่เหมาะสม ลดการแออัดของโรงพยาบาล ที่ต้องมุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้เป้าหมายต้องฉีดวัคซีนทั้งประเทศให้ได้อย่างน้อย 3 แสนโดสต่อวัน และภายใน 4 เดือน คนไทยประมาณร้อยละ 60 ของกลุ่มเป้าหมาย หรือคิดเป็นประชาชนจำนวน 30 ล้านคน ที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก และให้ครบ 50 ล้านคน อย่างน้อยเข็มแรกภายในอย่างช้าไม่เกินสิ้นปี 2564 นี้
แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร